เรื่องราวชีวิตของคนคนหนึ่งนั้นเสมือนเป็นแผนที่หรือลายแทงเล่มใหญ่ที่สามารถเข้าไปค้นหาสาระและแบบอย่างในการดำเนินชีวิตได้เสมอ เพราะกว่าที่แต่ละคนจะฝ่าฟันจนประสบความสำเร็จ ย่อมเต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่าสนใจ
“ศาสตราจารย์หลิน ตันเฉียน (Lin Danqian)” หรือ “หมอหลิน” ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีเส้นทางชีวิตที่น่าศึกษาค้นคว้าไม่น้อย
ในแวดวงผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย ชื่อของ “หมอหลิน” นับเป็นหนึ่งในแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงลำดับต้น ๆ รวมอยู่ด้วย โดยมีการเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับศาสตร์การแพทย์แผนจีนให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศไทยและระดับสากล
“หมอหลิน” เกิดในเดือนตุลาคม ปี พ.ศ. 2496 ในหมู่บ้านจิ่งซี ตำบลจิ่งโจว อำเภอเหราผิง มณฑลกว่างตง หรือที่คนไทยคุ้นเคยกันในชื่อมณฑลกวางตุ้ง
ในด้านการเรียน “หมอหลิน” ศึกษาที่โรงเรียนมัธยมต้นเขต 2 เหราผิง ในช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2512 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2515 และตัดสินใจเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีสาขาแพทย์แผนจีน ที่มหาวิทยาลัยแพทย์จีนกว่างโจว และจบการศึกษาในปี ค.ศ. 1986 (พ.ศ. 2529)
จากนั้นได้เข้าศึกษาต่อจนจบปริญญาโทในสาขาเดียวกันและมหาวิทยาลัยเดียวกันได้เป็นมหาบัณฑิตในปี พ.ศ. 2551 รวมทั้งฝากตัวเป็นศิษย์ “หวงเซ่าเหมย (Huang Shaomei)” ผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์แผนจีนผู้มีประสบการณ์ ซึ่งเป็นหมอยาจีนชื่อดังของจีนตอนใต้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512
หลังสำเร็จการศึกษา ในปี ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) “หมอหลิน” ได้เข้าทำงานเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลแพทย์จีนประจำเทศมณฑลอำเภอเหราผิง ในภาควิชาออร์โธปิดิกส์และการบาดเจ็บ และได้ใช้วิชาความรู้ในศาสตร์นวดแผนจีนอย่างขะมักเขม้น พร้อมกับพัฒนาองค์ความรู้วิชาการด้านการนวดแผนจีนอย่างลึกซึ้ง กระทั่งมีความชำนาญทางด้านการนวดทุยหนาและจัดกระดูก โดยเฉพาะการรักษาโรคกระดูกสันหลัง โรคกระดูกเสื่อม
รวมกระทั่งถึงโรคทางอายุรเวทและสูตินรีเวชนั้น มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เนื่องจากมีวิธีการรักษาที่มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง และได้รับการกล่าวขวัญถึงทั้งในด้านความสามารถในการบำบัดรักษา และจิตใจที่เปี่ยมพร้อมทั้งเมตตาและกรุณา
สำหรับเส้นทางการเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองไทยเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2537 โดยผ่านการทำงานในสถาบันทางการแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น โรงพยาบาลเทียนฟ้า และคณะการแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เป็นต้น
ด้วยผลงานและความสามารถในระดับต้น ๆ ของประเทศ “หมอหลิน” ได้รับเชิญให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ รวมทั้งได้รับเชิญให้ไปถ่ายทอดวิชาทุยหนาตามสมาคม สถาบันการศึกษามากมาย เช่น ได้รับเชิญเป็นอาจารย์สอนด้านศาสตร์ทุยหนาของสมาคมแพทย์จีนในประเทศไทย เป็นอาจารย์สอนวิชาจัดกระดูกของสมาคมแพทย์จีนในประเทศไทย เป็นอาจารย์อบรมบุคลากรทางการแพทย์จีนของสมาคมแพทย์จีนในประเทศไทย เป็นที่ปรึกษาสมาคมแพทย์เภสัชจีนของประเทศไทย เป็นอาจารย์การแพทย์จีนในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เช่น มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นต้น
จากประสบการณ์ที่ได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติทางการแพทย์ การสอน และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มานานกว่า 50 ปี “หมอหลิน” เป็นหนึ่งในผู้ผลักดันการรับรองการแพทย์แผนจีนในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมาย ผลักดันให้กระทรวงศึกษาธิการยื่นร่างข้อเสนอเปิดการศึกษาแพทย์แผนจีน (TCM) ระดับปริญญาตรี และมีส่วนร่วมในการรวบรวมตำรา TCM ส่งเสริมความเป็นวิทยาศาสตร์และความปลอดภัยของการแพทย์แผนจีน ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจระหว่างไทยและจีน จนได้รับรางวัล "รางวัลมิตรภาพไทย-จีน"
นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Lin's Massage and Chiropractic เป็นหัวหน้าผู้เชี่ยวชาญของสถาบันในโรคกระดูกสันหลังและโรคที่เกี่ยวเนื่องกับกระดูกสันหลัง โดยมีผลงานวิจัยเกี่ยวกับกลไกของโรคกระดูกสันหลังและโรคที่เกี่ยวเนื่องกับกระดูกสันหลัง โดยใชศาสตร์การนวดแผนจีนรักษาโรคกระดูกพรุน และกระดูกสันหลังเสื่อมอย่างมีประสิทธิผล
โดยเฉพาะผลงานที่โดดเด่นก็คือการศึกษาขยายงานวิจัยที่ว่าโรคอัลไซเมอร์มีสาเหตุมาจาก “ปริมาณเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอในระยะยาว” ส่งผลให้สมองหดตัว โดยพบว่าการคดของกระดูกสันหลังส่วนคอและการบีบตัวของหลอดเลือดมีส่วนทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอจนระยะยาว ทำให้สมองหดตัวลงจนเกิดอัลไซเมอร์ การเผยแพร่ผลงานดังกล่าวทำให้ได้รับรางวัลกิตติมศักดิ์ “นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ผู้มีผลงานดีเด่นระดับโลกของจีน”
ไม่เพียงเท่านั้น “หมอหลิน” ยังมีผลงานการเขียนหนังสือในสื่อต่าง ๆ หลายต่อหลายสื่อด้วยกัน เช่น เป็นเจ้าของคอลัมน์ “จงอีเอี้ยวอวี๋เป่าเจี้ยน” (แพทย์แผนจีนกับการดูแลสุขภาพ) ในหนังสือพิมพ์ซินจงหยวน ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาจีนฉบับหนึ่งในกรุงเทพฯ เป็นบรรณาธิการบริหารตำราเรียน “นวดแผนจีน” และดำรงตำแหน่งบรรณาธิการบริหารนิตยสารฉบับภาษาไทย นิตยสาร “World Traditional Chinese Medicine” และนิตยสาร “International Clinical Research of Traditional Chinese Medicine”
“หมอหลิน” ได้ก่อตั้งศูนย์ความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยทางคลินิกของการแพทย์แผนจีนและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย หนึ่งในผู้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาและการดำเนินงานขององค์กร ดำเนินการวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับการแพทย์แผนจีนและได้รับรางวัล “Organization Award for Promoting the Development of Traditional Chinese Medicine Science and Technology” ในงานประชุมโลกครั้งที่สองเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การแพทย์แผนจีนและเทคโนโลยี ส่งเสริมการทำให้ถูกต้องตามกฎหมายของการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย
ตลอดจนได้รับรางวัล “รางวัลเกียรติยศสูงสุดสำหรับผลงานพิเศษด้านการแพทย์แผนจีน” โดยทำงานร่วมกับแพทย์แผนจีนผู้มีประสบการณ์อีก 4 คน เพื่อพัฒนาการวิจัยยาต้านโรคระบาดตัวใหม่ “Wulao Yuwendan” มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับโรคระบาดของประเทศไทย จนได้รับรางวัล “Huatuo Traditional Chinese Medicine Award” ครั้งแรก และ “Seventh International Contribution Award for Traditional Chinese Medicine”
ล่าสุด หนังสือเผยแพร่การนวดทุยหนาชุดแรก ( เล่ม1-2 ) ในประเทศไทย ที่ถ่ายทอดผลงานเคล็ดลับการรักษาโรคด้วยศาสตร์ทุยหนา ทั้งเล่ม 1 และเล่ม 2 ถ่ายทอดโดยหมอหลินได้รับรางวัล 2023 International Contribution of Chinese Medicine เมื่อปีที่แล้วอีกด้วย
ขณะเดียวกัน “หมอหลิน” ได้ลงพื้นที่ประสบอุทกภัยเป็นการส่วนตัวเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย และได้รับรางวัล “บุคคลตัวอย่างการต้านอุทกภัยและบรรเทาสาธารณภัย” จากกองบัญชาการกองทัพไทย ได้รับโล่ทองคำที่ระลึกจากโรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิ (Thianfah Foundation Hospital), รางวัลโล่ทองคำกองทัพภาคที่ 1 กองบัญชาการกองทัพบก, รางวัลคุณูปการมิตรภาพไทย-จีน เป็นต้น
นอกจากนี้ เรื่องราวชีวประวัติของหมอหลินยังได้เผยแพร่ในหนังสือต่าง ๆ เช่น ทำเนียบชาวจีนยุคปัจจุบันผู้มีชื่อเสียง, แสงสว่างแห่งชนชาติจีน, ลูกหลานชาวจีนโพ้นทะเล, ทำเนียบชาวจีนโพ้นทะเลผู้รักชาติ,เส้นทางชาวจีนโพ้นทะเลรุ่นใหม่ และอื่น ๆ รวมทั้งยังถูกบันทึกอยู่ในทำเนียบบุคคลสำคัญ อาทิ ทำเนียบดาราจีนร่วมสมัยในโลก, แสงสว่างแห่งชาติ ชายผู้ภาคภูมิใจของจีน, รหัสรักชาติจีน, ถนนชาวจีนโพ้นทะเลใหม่
ปัจจุบัน ศาสตราจารย์หลิน ตันเฉียน ดำรงตำแหน่งที่สำคัญมากมาย ได้แก่
หน้าที่เข้าชม | 336,766 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 168,863 ครั้ง |
เปิดร้าน | 27 เม.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 4 ก.ย. 2568 |